วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บอกลาไขมันส่วนเกิน



สาวๆยุคปัจจุบันทั้งหลาย จำนวนไม่น้อยที่ต้องต่อสู้กับไอ้เจ้าไขมันส่วนเกิน รูปถ่ายในอดีตเป็นตัวตอกย้ำว่าปัจจุบันรูปร่างเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ไขมันเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาจากไหนทุกปี     

ในร่างกายเรามีระบบการทำงานที่เรียกว่าเมตาโบลิซึ่มหรือกระบวนการเผาผลาญสารอาหารไปใช้เป็นพลังงาน ซึ่งการทำงานของระบบนี้จะช้าลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ปริมาณสารอาหารที่ร่างกายต้องการเฉลี่ยต่อวันคือ 2,000 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นหากรับประทานอาหารเกินความจำเป็นที่ร่างกายจะสามารถเผาผลาญได้บวกกับความสามารถในการเผาผลาญแคลอรี่ลดลง เมื่ออายุย่างเข้าเลข 3 ทำให้กลายมาเป็นไขมันส่วนเกินที่คอยสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง 

มีวิธีที่ง่ายมากๆ ที่ทำยากมากๆ มาช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้น เป็นวิธีที่ไม่เพียงแค่ปลอดภัยต่อสุขภาพยังทำให้ร่างกายกลับมาดูดี ฟิตแอนเฟริม จนทำให้หนุ่มๆ เหลียวมองและสาวๆด้วยกันยังอิจฉา โดยไม่ต้องพึงยาอันตราย หรือเสียเงินซื้อคอสลดน้ำหนักราคาแพง แต่หุ่นดีได้แค่ชั่วคราว

1    1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ
ระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณปีละ 2% แต่มีบางสิ่งที่ทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ คือหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ อาจเลือกวิธีที่เน้นการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง กระชับ นั่นหมายถึงแคลอรี่ได้ถูกเผาผลาญออกไป

หาเวลาให้ได้ 30 นาที อย่างต่ำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ง่ายๆ แค่การเดินวันละ 10,000 ก้าว (เทียบได้กับการเดินเร็ว ๆ ประมาณ 20 นาที) จะช่วยให้คุณใช้พลังงานไปมากกว่า 500 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว  ที่สำคัญการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายยังคงเกิดการเผาผลาญต่อไปอีก 2 ชั่วโมง หลังจากที่เราออกกำลังกายเสร็จ



2     2.  ไม่อดอาหาร ทานให้ครบมื้อ
หลายๆคนเข้าใจว่า การอดอาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดได้อย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่จะงดมื้อเช้าเสียด้วย เมื่อคุณได้ทานอาหารหลังจากอดมื้อใดมื้อหนึ่งมา ร่างกายจะยิ่งสั่งให้ทานเข้าไปเรื่อย ๆ เพื่อชดเชยสารอาหารที่เสียไป ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยิ่งอดก็จะยิ่งทำให้อ้วนขึ้นง่ายกว่าเดิมเสียอีก ควรทานให้ครบมื้อ แต่ลดปริมาณให้น้อยลง อาหารเผ็ดช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ ดื่มชาเขียวช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ

เริ่มจากการรับประทานอาหารมื้อเช้าเป็นสำคัญ เพราะใน 8-9 ชั่วโมงที่คุณหลับพักผ่อนนั้น ร่างกายจะหิว เมตาบอลิซึ่มจะทำงานอย่างช้าๆ เพื่อรักษาระดับพลังงานในร่างกาย (แคลอรี่) การรับประทานอาหารเช้าจึงเป็นตัวการช่วยกระตุ้นการทำงานของเมตาโบลิซึ่ม หากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย

3   3. ลด  คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน
คาร์โบไฮเดรต เป็นสารที่ให้พลังงานที่สำคัญแก่ร่างกาย มักพบอยู่ในรูปของแป้ง และน้ำตาล เป็นส่วนใหญ่ พบมากในข้าว แป้ง ขนมปัง เป็นสารตัวแรกที่ร่างกายจะนำไปใช้เป็นพลังงาน หากร่างกายได้รับสารอาหารชนิดนี้ไม่เพียงพอ จะสลายสาร ไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน หากไขมันไม่พอจะไปสลายสาร โปรตีนมาใช้เป็นพลังงาน แต่การที่ปฏิกิริยาทางเคมี จะสลายเอาโปรตีนภายในร่างกายมาใช้เป็นพลังงานได้ ก็ต่อเมื่อ ร่างกายขาดสารอาหารจากคาร์โบไฮเดรต และไขมันอย่างรุ่นแรง แต่ถ้ามีสารนี้มากเกินไป ร่างกายจะเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน

วิธีคำนวณหาดัชนีมวลกาย BMI (Body Mass Index)
ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นดัชนีที่ดูความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงและน้ำหนัก มาช่วยบอกมาว่าเราอยู่ในสภาวะไหน ผอมไป ปกติ หรืออ้วนไป
สูตรคำนวณ คือ น้ำหนัก ÷ ส่วนสูง2 (เมตร) = BMI
ตัวอย่างเช่น น้ำหนัก 55 สูง 165 เซนติเมตร
55÷(1.652)                  = BMI
55÷(1.65x1.65)           = BMI
55÷2.7225                   = 20.20



ข้อขอบคุณแหล่งข้อมูล

ภาพประกอบจาก Google Search 






วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อยากผิวขาว ผิวใส ทำไงดี




ผิวหนังของคนมีความหนาประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ผิวหนังแบ่งได้เป็น 3 ชั้น ชั้นบนสุด เรียกว่า หนังกำพร้า (epidermis) เป็นชั้นที่เรามองเห็นด้านนอกสุด ชั้นกลางเรียกว่า หนังแท้ (dermis) ชั้นล่างสุดเป็นชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous tissue)  มีเซลล์ชนิดหนึ่งในชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า ชื่อ melanocyte ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสี (melanin) ทำให้เกิดเป็นสีผิว   ทุกคนมีจำนวนเซลล์นี้เท่าๆกัน ต่างกันที่จำนวนเม็ดสีที่ถูกผลิตขึ้น คนที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนจะมีสีผิวคล้ำกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเขตหนาว นั่นเพราะร่างกายต้องสร้างเม็ดสีผิวหรือเมลานินขึ้นมามากเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด "สีผิว" ของคนเรา จึงขึ้นกับชนชาติ กรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมในภายหลัง ที่มีทั้้งผิว ขาว เหลือง น้ำตาล คล้ำ หรือแม้กระทั่งผิวดำ


อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม งั้นลองมาทำความรู้จักกับสารพัน วิธีที่ช่วยทำให้ผิวของเราดูขาวใสขึ้น


1. ใช้สารกลูต้าไธโอน


สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นได้เองเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน ต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลงจะถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี 


ในวงการแพทย์ใช้สารกลูตาไธโอนเป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ และพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัยและหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู


จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลยไม่ว่าจะกินครั้งละหลาย ๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมาก ๆ ก็ตาม  แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด




2. สารทำให้ผิวขาวขึ้น


2.1 สารฟอกสี (Bleaching Agents)
    - ไฮโดรควิโนน เคยนิยมมากในครีมและโลชั่นป้องกันฝ้า ออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน แต่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อหยุดใช้จะกลับเป็นสีเดิมหรือมากกว่าเดิม ถ้าใช้ติดต่อกันเกิน 6 เดือน จะทำให้เป็นฝ้าถาวร สารตัวนี้จึงถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
     - โมโนเบนโซน ออกฤทธิ์เหมือนข้างบน แต่ทำลายเซลล์สร้างสีผิว ทำให้เกิดรอยด่างขาวเป็นหย่อมๆ ถาวร จึงถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางเช่นกัน
     - ปรอทแอมโมเนีย เคยเป็นที่นิยมใช้กันมากเช่นกัน ในครีมป้องกันฝ้าที่เรียกว่า ครีมไข่มุก หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีการสะสมปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ตับ และไตพิการ โรคโลหิตจาง เป็นต้น ปรอทแอมโมเนียจึงถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง


2.2 สารทำให้ผิวขาว (Whitening Agents)
    - อาร์บิวติน มี 2 แบบ คือ ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี และได้จากการสกัดจากพืช มีผลต่อการยับยั้งการสร้างเมลานินไม่เป็นพิษต่อเซลล์สร้างเมลานินทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นและมีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและอาการข้างเคียงใดๆ ทั้งยังคงสภาพต่อแสงแดดได้ผลดีกว่ากรดโคจิก เป็นที่นิยมใช้กันมากในญี่ปุ่น โดยใช้อาร์บิวตินความเข้มข้นร้อยละ 3-7      - กรดโคจิกได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี หรือ ได้จากการสกัดกรดโคจิกที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการหมักกลูโคสด้วยเชื้อรา แอสเพอร์จิลลัส โอริซี (Aspergillus oryzae) ช่วยลดการสร้างเมลานิน    - แมกนีเซียมแอสคอร์บิกฟอสเฟส เป็นฟอสเฟตเอสเทอร์ของวิตามินซี ที่มีความคงสภาพ ได้จากการสังเคระห์ทางเคมี ออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้างเมลานินทำให้ผิวขาวขึ้น ขัดขวางการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งทำให้ผิวแก่ ในขณะเดียวกันช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
2.3 เอเอชเอ (AHA) หรือ อลฟาไฮดรอกซีแอซิด เรียกกันว่า กรดผลไม้
    เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในอาหาร เช่น กรดเมลิกในแอปเปิ้ล กรดซิตริกในมะนาว กรดทาร์ทาริกในองุ่น กรดแลกติกในนมเปรี้ยว และกรดไกลโคลิกในอ้อย เป็นต้น ช่วยพลัดเซลล์ที่ตายแล้ว ให้ลอกออกอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน ลดรอยฝ้าและจุดด่างดำ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การเร่งหลุดออกของเซลล์ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่นดีขึ้นหลังจากการใช้หลายครั้ง ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย


การที่ผิวหนังขาวขึ้นจากการใช้สารทำให้ผิวขาวซึ่งออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน มีผลทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง มีความไวต่อรังสีอุลตราไวโอเลตมากขึ้น จึงควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์กันแดด และหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้า


3. การขัดผิวด้วยผลไม้รสเปรี้ยว 


การใช้ใยขัดผิวหรือสครับช่วยขจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพที่สะสมบนชั้นผิวหนังที่ เป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำไม่สดใส เพราะเซลล์ผิวใหม่ที่เปล่งปลั่งกว่าเดิมไม่ สามารถขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และยังเป็นสาเหตุของผิวเหี่ยวและแก่เร็วได้อีกด้วย ผิวจะขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้


4. ทานอาหารให้เหมาะสม
    
    - วิตามินซี มีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย
    - อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย 
    - อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น
    - ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว 

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด

6. ไม่เครียด

เข้าใจว่ามันหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ความเครียดเป็นตัวแปรหนึ่งที่พรากความสดใสไปจากผิวคุณได้ เพราะความเครียด (โดยเฉพาะความเครียดที่สะสมมานาน) จะทำให้ร่างกายคุณขาดสมดุล และเป็นบ่อเกิดของผิวหมองคล้ำไม่สดใส

7.  บอกลาบุหรี่และแอลกอฮอล์

     ภัยร้ายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของผิวก็คือแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพราะการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จะช่วยเร่งให้ผิวเหี่ยว ซีดเซียว มีริ้วรอยรอบปากและดวงตา เนื่องจากการสูบบุหรี่จะเข้าไปลดออกซิเจนในร่างกาย ทำให้ร่างกายขับของเสียออกมาได้ช้า และดื่มเหล้าจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำในร่างกายจากการขับถ่ายน้ำออกทางปัสสาวะ หากยังดื่มอยู่เป็นประจำจะทำให้ผิวแห้งไม่ชุ่มชื้น



 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล


http://www.oknation.net/blog/DIVING/2009/03/21/entry-1
http://women.kapook.com/view742.html
http://bit.ly/PxhfnP
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=55
http://bit.ly/ORniyD


รูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สิว


ปัญหารบกวนใจ สำหรับวัยรุ่นและวัยกลางคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สิวมักจะขึ้นบริเวณผิวมัน และพบมากที่ หน้า ไหล่ หลัง อก  สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมันในรูขุมขน เนื่องจากต่อมไขมัน(sebaceous gland) มีการสร้างไขมัน (sebum)มากเกินไปและระบายออกทางรูขุมขน (pilosebaceous unit) ไม่ทัน จึงตกค้างอยู่ในบริเวณรากขน (follicle) และไขมันจะกระตุ้นให้เซลล์ของหนังกำพร้า (keratinocyte) สร้างโปรตีน (keratin)มามากขึ้นและจับตัวกันแน่นผิดปรกติจึงเกิดเป็นสิวอุดตัน (comedone)

สิวแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1. สิวไม่อักเสบ
     - สิวหัวปิด หรือ สิวหัวขาว (whitehead)
     - สิวหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ (blackhead)
2. สิวอักเสบ
     - สิวหัวแดง (papule)
     - สิวหัวหนอง (pustule)

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว

ปัจจัยภายใน
1. ฮอร์โมน - ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) เป็นฮอร์โมนเพศชาย ที่มีอยู่ในตัวผู้หญิงและผู้ชาย ฮอร์โมนชนิดนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมไขมัน คือถ้ามีแอนโดรเจนในร่างกายมากเกินไป จะทำให้ไขมันผลิตมากกว่าปกติ ส่งผลทำให้ เกิดสิว ผิวมัน ขนดก ฮอร์โมนจะเริ่มสร้างในช่วงอายุ 11-14 ปี จึงพบสิวมากในเด็กวัยนี้ และอาจอยู่ได้นานหลายปี
2. รูขุมขนสร้าง keratin มากเกินไป
3. แบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อ propionibacterium acne  ทำให้เกิดสิวอักเสบ
4. กรรมพันธุ์
5. ระดับฮอร์โมนที่แปรผัน เช่นช่วงก่อนมีประจำเดือน

ปัจจัยภายนอก

1. การขัดหน้า การบีบ จะทำให้เกิดการอักเสบได้เพราะทำให้ comedone แตก
2. ความเครียด ไม่ได้ทำให้ต่อมไขมันหลั่งมากขึ้น แต่ทำให้เป็นสิวมากขึ้น คาดว่าอาจเกิดจาก  corticotropin Releasing Hormone (CRH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนทางความเครียด
3. แพ้เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ 
4. ยาบางชนิด


วิธีดูแลรักษา

1. ทำความสะอาดผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง สำหรับสาวๆที่แต่งหน้าควรใช้คลีนเซอร์สำหรับ 
    เช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน จึงค่อยใช้เจลล้างหน้าและตามด้วยโทนเนอร์ ควร 
    เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวเรา ถ้าไม่แน่ใจก็ไปปรึกษาคุณหมอ
2. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สำหรับผิวที่เพิ่มความมัน 
3. ห้ามบีบหรือแกะสิว จะยิ่งทำให้อักเสบ
4. ผักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
5. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ลด 
    อาหารที่เพิ่มไขมัน
6. รักษาความสะอาดของเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน หมอน 
    ผ้าห่ม
7. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่ทำให้ผิวเกิด
    การระคายเคือง
8. ไม่ควรใช้มือสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว
9. รับประทาน Zinc (สังกะสี) 
10. ใช้ยาทาที่มีตัวยาดังนี้
   - Benzoyl peroxide
   - Azelai acid
   - Clindamycin
   - Erythromycin 
   - Tetracycline
   - Retinoids
11. ยากิน
   - Doxycyclin
   - Clindamycin
   - Acnotin (ต้องได้รับการพิจารณาจากหมอเท่านั้น)
   - ยาคุมที่มีฮอร์โมนต้านแอนโดรเจน

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล


รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยเสริมสร้างความรู้ หากผิดถูกอย่างไรก็ขออถัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่า ^__^

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคข้อเสื่อม


โรคข้อเสื่อม (osteoarthritis)



อาการข้อเสื่อมเป็นอย่างไร

1.ข้อบวมหรือข้อโตขึ้น โดยเฉพาะข้อนิ้วมือเหมือนมีกระดูกงอกบริเวณข้อด้านหลังนิ้ว
2.กดเจ็บ ในรายที่มีข้ออักเสบ ปวดขณะเคลื่อนข้อ หรือเวลากดกระดูกข้างข้อที่โตแล้วเจ็บ มีอาการบวมและมีน้ำในข้อ
3.มีเสียงดังในข้อขณะเคลื่อนไหว เหมือนผิวของกระดูกเสียดสีกัน
4.องศาการเคลื่อนไหวของข้อลดลง เมื่อทิ้งไว้นานการเคลื่อนไหวของข้อยิ่งลดลงมาก ทำให้สูญเสียการทำงาน
5.ข้อผิดรูปหรือพิการ เช่น ข้อเข่าโก่ง
6.ความมั่นคงของข้อเสียไป เช่น ข้อหลวม
7.การเดินผิดปกติ เช่น เดินกระเผลก
8.กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง
9.มีอาการข้อฝือ เช่น นั่งท่าเดียวนาน ๆ จะมีความรู้สึกฝืด เคลื่อนไหวไม่คล่อง


ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นข้อเสื่อม

1.ผู้สูงอายุ ตั้งแต่อายุ 40 ขึ้นไป โดยเฉพาะในช่วยวัยทอง จะมีการสึกกร่อนของข้อมากที่สุด
2.เพศหญิง จะมีโอกาสเกิดข้อเสื่อมมากกว่าเพศชาย และมักพบข้อเสื่อมบริเวณเข่าและมือใน ขั้นรุนแรง
3.ผู้มีน้ำหนักตัวยิ่งมาก ยิ่งมีโอกาสเกิดข้อเข่าเสื่อมมาก
4.นักกีฬา จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุบริเวณข้อ
5.ชาวไร่ ชาวนา มักพบข้อเสื่อมบริเวณบั้นเอว
6.พ่อค้า แม่ค้า มักพบโรคข้อเสื่อมของข้อเข่า
7.แม่บ้านพบข้อนิ้วเสื่อมมากที่สุด




โรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูก เพราะปริมาณของ
โปรตีนโอไกลแคน (proteoglycans) ลดลง ทำให้ความสามารถในการรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อลดลง จึงมีอาการเจ็บปวดเมื่อมีการลงน้ำหนักหรือใช้งานบริเวณอวัยวะส่วนนั้น ต่อมาจะมีอาการบวมข้อ ฯลฯ และเมื่อมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นท้ายๆ ข้อจะมีลักษณะผิดรูปผิดร่าง  นอกจากการรับประทานยา
เพื่อบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบของข้อแล้ว ยังมีทางเลือกใหม่ของการบำบัดรักษาอาการข้ออักเสบ


กลูโคซามีน (glucosamine) เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถูกสร้างและมีอยู่ในร่างกายของมนุษย์รวมทั้งของเหลวที่มีอยู่รอบข้อต่อ กลูโคซามีนจะถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารโมเลกุลใหญ่เช่น โปรตีนโอไกลแคน, ไกลโคโปรตีน(glycoprotein), ไกลโคสามิโนไกลแคน(glycosaminoglycan), กรดไฮยาลูโรนิก(hyaluronic acid) สารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดของร่างกาย 
โดยจะพบได้มากที่กระดูกอ่อน(cartilage) จะอยู่ที่ปริเวณส่วนปลายของกระดูกโดยเฉพาะที่ข้อต่อ  กระดูกอ่อนนั้นประกอบด้วยเมทริกซ์ของเส้นใยคอลลาเจนที่มีโปรตีนโอไกลแคนอยู่ภายใน  โดยที่โปรตีนโอไกลแคนมีความสามารถในการดึงน้ำเข้ามาหาตัวเองได้ดี จึงทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น และรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้  นอกจากนี้กลูโคซามีนยังมีผลยับยั้งการทำงานของสารอักเสบได้หลายชนิดจึงมีผลลดการอักเสบของข้อด้วย พบได้มากในเปลือกสัตว์ประเภทกุ้ง ปู

คอยดรอยติน (chondroitin) เป็นสารอีกหนึ่งตัวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พบได้ส่วนใหญ่ที่บริเวณเนื้อเยื่อตามข้อต่อส่วนต่างๆของร่างกาย และบริเวณกระดูกอ่อนรอบข้อต่อ คอยดรอยตินคือสารที่ไปขัดขวางเอนไซม์ที่ย่อยสลายกระดูกอ่อนและช่วยในการสร้างกระดูกอ่อน
คอนดรอยตินทำหน้าที่ดูดน้ำในร่างกายไปเลี้ยงที่กระดูก เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้ข้อต่อ หากร่างกายขาดคอนดรอยตินจะทำให้กระดูกแห้ง
ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกจะลดน้อยลง  พบได้มากในกระดูกอ่อนของสัตว์

กลูโคซามี และคอยดรอยติน มักจะเสื่อมสภาพเมื่อผ่านกระบวนการย่อยหรือประกอบอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับหรือได้รับ กลูโคซามีน และ คอนดรอยตินน้อยมากจากการกินอาหาร ดังนั้นร่างกายจึงต้องสังเคราะห์สารดังกล่าว หากให้สภาวะที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
ร่างกายจะสร้างสารเหล่านี้ได้เพียงพอต่อความต้องการ แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นการเสื่อมของกระดูกอ่อนในข้อมีมากขึ้น ร่างกายจะผลิตสารดังกล่าวไม่พียงพอจึงนำไปสู่อาการของโรคข้อเสื่อม การเสริมสารกลูโคซามีน และ คอนดรอยติน อาจช่วยยับยั้งและชะลออาการดังกล่าวได้ 

อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยจากการรับประทานกลูโคซามีน คือ คลื่นไส้ ท้องเสีย แสบท้อง ปวดท้อง ท้องอืด นอกจากนี้ยังพบอาการง่วงซึม
ผื่นแพ้ผิวหนัง แพ้แสง ปากคอบวม (angioedema) หรือกระตุ้นให้เกิดการจับหืดได้

ควรระมัดระวังในผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง ปู เพราะกลูโซามีนสังเคราะห์มาจากเปลือกของสัตว์ดังกล่าว

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=3
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=41
http://vet.kku.ac.th/vetpharmaco/document/pairoaj/glucosamine.pdf
http://bit.ly/PvhpNp

รูปประกอบจาก

http://bit.ly/L9Eqnt
http://sriphat.med.cmu.ac.th/container/data.php?mod=blogDr&id=5
http://www.learners.in.th/blogs/posts/343971
http://www.snatur.co/glucosamine-snatur/